ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ไม่หลงทาง

๕ ธ.ค. ๒๕๖๓

ไม่หลงทาง

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “ดับอารมณ์ที่เหตุ”

กราบนมัสการหลวงพ่อ ลูกขอเล่าผลการภาวนาและคำถามดังนี้

๑. ระหว่างภาวนาที่วัดมีอารมณ์เสียใจเกิดขึ้น ก็ได้แต่พยายามพุทโธและประคองจิตและกิริยาภายนอกให้เป็นปกติ ในใจพยายามพิจารณาแต่ก็ไม่ได้เรื่อง ความเสียใจยังคงอยู่ จนได้มาฟังเทศน์หลวงพ่อที่ว่า “รูปอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจต่างหากเป็นกิเลส” คำนี้ฟาดเปรี้ยงลงกลางหัวใจ มันอ๋อ! ทันทีเลยค่ะ

คำว่ากล่าวก็คือรูปอันวิจิตร สิ่งกระทบไม่ใช่กิเลส สิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจต่อจากนี้ต่างหากคือกิเลส ก็พิจารณาไล่หากิเลสที่ทำให้ใจทุกข์

ถ้าคำกล่าวนี้พูดกับผู้อื่น แม้เราจะได้ยินแต่ก็ไม่ทุกข์ ทุกข์เพราะว่าเรานี่เอง ก็ไล่ไปจนเห็นความสำคัญของตนว่า ตนเองนั้นดีแล้ว ไม่ควรถูกว่า จิตนี้เองคือต้นเหตุแห่งทุกข์ ก็ไล่พิจารณาเหตุผลที่ว่า เป็นเช่นนี้ควรแล้วที่จะรักษาระเบียบวินัย เพราะมีหนึ่งก็ต้องมีสอง และครูบาอาจารย์สอนให้ ดุด่าให้ ก็ต้องดีสิ ถ้าได้แล้วจะทุกข์ทำไม ความเสียใจก็เบาบางลง ไม่ต้องฝืนประคองจิตของตนตอนแรก

ต่อมาขณะขับรถกลับบ้านก็มีเรื่องราวมากระทบในใจ ไม่พอใจอีก ก็ทำเหมือนเดิมและอารมณ์นั้นก็เบาไป ฟ้าผ่าครั้งนี้ทำให้ลูกทะลุผ่านจุดที่ติดขัดมาได้ เดิมเห็นความไม่พอใจ อารมณ์ด้านลบต่างๆ ก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว แต่พิจารณาฟาดฟันจนวางมันลงไม่ได้ อย่างนี้ก็ดีแค่อดกลั้นไว้บ้าง รั่วบ้าง ครั้งนี้รู้สึกว่าจะต้องทำอย่างไรกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในหัวใจค่ะ วิธีนี้ถูกผิดประการใดขอหลวงพ่อช่วยแนะด้วยค่ะ

ดับอารมณ์ที่สอง

๒. ลูกเห็นว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีทั้งสุขและทุกข์ แต่สติปัญญาของลูกจับได้แค่อารมณ์ทุกข์ อารมณ์ที่ใจมันไม่ชอบ ส่วนอารมณ์สุขพอใจก็เกิดขึ้นในใจเหมือนกัน แต่ทำไมจับมาพิจารณาแยกแยะไม่ได้ ไหลเออออตามมันไป ก็ถามใจว่า จริงๆ แล้วเราต้องจับทั้งทุกข์และสุขสิ แต่สุขจับไม่ได้ ต้องทำอย่างไร ได้คำตอบว่า จับทุกข์นั้นง่ายกว่า ตอนนี้จับได้แค่นี้ก็ทำให้พิจารณาไปให้ชำนาญก่อน เมื่อชำนาญแล้วเดี๋ยวก็จะพัฒนาไปสู่การจับสุขที่ละเอียดกว่านี้ได้ อันนี้จริงหรือลูกถูกกิเลสหลอกคะ

ดับอารมณ์ที่สาม

๓. ตอนนี้ลูกกลับบ้านมาได้หลายวันแล้ว ยังจับอารมณ์มาแยกไม่ได้อีกเลย มีหน้าที่ทางโลกมากมายให้คิดให้ทำ จิตส่งออกไปคิดเรื่องโน้นนี้จนงานในใจไม่ก้าวหน้า ถึงแม้จะรู้ช่องทางแต่ไม่ได้ฝึกฝน สักวันก็ต้องเสื่อม ลูกได้เพียงแต่แค่พุทโธและฟังเทศน์หลวงพ่อขณะขับรถเท่านั้นค่ะ รู้สึกว่าตอนนี้เข้าใจในคำสอนของหลวงพ่อดีขึ้นมากค่ะ ขอรบกวนหลวงพ่อตอบแค่นี้ค่ะ

ตอบ : นี่พูดถึงว่าเวลาที่เราพิจารณาเองก็เรื่องหนึ่งนะ แต่เวลาฟังเทศน์ๆ สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟังทุกวันน่ะ ได้ยินได้ฟังทุกวัน สิ่งที่เทศน์ได้ยินได้ฟังทุกวันแต่มันไม่สะเทือนใจ แต่ถ้าวันไหนเวลาฟังไปแล้วถ้ามันถูกไง เวลามันถูกขึ้นมามันสะเทือนหัวใจ สะเทือนหัวใจ มันได้ประโยชน์ตรงนั้นไง

เวลาฟังเทศน์ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ตอกย้ำๆ ทุกวัน สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังนั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ แล้วเวลาฟังไปแล้วมันเกิดความลังเลสงสัย เวลาความลังเลสงสัยแล้วถ้ามันกำจัดความลังเลสงสัย จิตใจนี้ผ่องแผ้ว นี่อานิสงส์ของฟังธรรมๆ นะ

เวลาฟังธรรมๆ เวลาประพฤติปฏิบัติ หลวงตาท่านไปเยี่ยมลูกศิษย์ลูกหามากมายมหาศาล บางสถานที่มันเป็นป่าเป็นเขาที่น่าจะประพฤติปฏิบัติบ้าง ท่านบอกทำไมมันไม่มีพระปฏิบัติล่ะ ทำไมพระมันไม่มากัน

เวลาท่านสนทนากับพระที่นั่นไง ท่านบอกว่า เวลามาปฏิบัติอยู่ในป่าในเขา เวลาปฏิบัติแล้วถ้าไม่มีครูบาอาจารย์มันก็เหมือนกับหลงทาง เหมือนกับอยู่คนเดียว มันว้าเหว่ไง มันขาดที่พึ่งๆ ไง ถ้ามันมีครูบาอาจารย์เป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดเข้ามา เวลาดึงดูดเข้ามา มีสิ่งใดที่เราประพฤติปฏิบัติแล้ว สิ่งใดที่มันขัดข้อง เราถามอาจารย์ได้เลย

การถามอาจารย์นั่นน่ะมันเป็นทางการประพฤติปฏิบัติที่เข้าสู่สัจจะความจริง เพราะท่านได้ประพฤติปฏิบัติ ท่านได้ผ่านเหตุการณ์อย่างนั้นมาแล้ว

แต่ถ้ามันไม่มีครูบาอาจารย์นะ เวลาเกิดสิ่งใดขึ้นเราก็ต้องคิดเอง ค้นเอง หาเอง โอ๋ย! ความคิดเราส่วนใหญ่แล้วเราเข้าข้างตัวเองทั้งสิ้น เวลาเราคิด กิเลสมันก็คิดไปกับเราไง เวลาเราคิดอะไรก็แล้วแต่ เราใช้ปัญญาต่อสู้กับกิเลสของเรา กิเลสมันก็มีส่วนในความคิดของเราด้วยไง แพ้ทุกที แพ้ทุกทีไง มันทั้งว้าเหว่ มันทั้งเหงา มันทั้งต่างๆ แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ มันเหมือนมีหลังพิง เวลาหลังพิงขึ้นมา มีสิ่งใดเราวิ่งหาครูบาอาจารย์เราเลย

เวลาประพฤติปฏิบัตินะ เวลาหลวงตาท่านบอกไง เวลาอยู่กับหลวงปู่มั่น กิเลสมันเงียบสงบ มันไม่มีสิ่งใดเลย เวลาออกจากหลวงปู่มั่นไป ๒ วัน ๓ วันกลับมาถามปัญหาท่านแล้ว เวลากลับมาถามปัญหาท่าน แล้วท่านก็ตอบไง พอเวลาตอบมันก็ไปค้นคว้า ท่านบอกว่า ถ้าไม่ไปถามท่าน เราต้องคิดต้องค้นเป็นเดือนเลย แต่ถ้าไปหาท่านทีเดียวจบเลย

อันนี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่เวลาฟังเทศน์ๆ สิ่งนี้สำคัญมาก สำคัญมาก สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ได้ยินได้ฟังแต่มันไม่สะเทือนใจ

เหมือนฟังเทศน์เลย เปิดวิทยุฟังเทศน์ กัณฑ์นี้ก็ฟังทุกวันนั่นน่ะ แต่บางวันถ้าจิตมันดีๆ นะ สิ่งที่เนื้อหาสาระมันกระเทือนหัวใจนะ มันคิดเลย ทำไมตรงนี้เมื่อก่อนมันไม่เคยได้ยิน

ได้ยินทุกวันน่ะ แต่มันไม่ตรงกับขณะที่เราต้องการ พอตรงกับขณะที่ต้องการนะ โอ้โฮ! มันขนพองสยองเกล้า มันสะเทือนใจ สะเทือนใจทันที นี่อานิสงส์ของฟังธรรมๆ ไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติไปที่วัด มีคนถามมากมายมหาศาล เวลาปฏิบัติต้องไปวัดไปวาหรือไม่

ถ้าเราไม่มีเวลา ถ้าเราจัดสรรได้ เราปฏิบัติที่ไหนก็ได้ การประพฤติปฏิบัติที่บ้านก็ได้ ในห้องพระก็ได้ ขณะที่ทำงานก็ได้ ถ้าจิตใจเรามันฝักใฝ่ มันต้องการ ถ้าจิตใจเราไม่ต้องการนะ มาอยู่วัดมันก็คิดออกไปข้างนอก มันส่งออกหมดน่ะ ไปอยู่ที่ไหนมันก็ส่งออกทั้งสิ้น

แต่เวลาไปวัดไปวามันสัปปายะไง สถานที่ เราอยู่ที่บ้านที่เรือน เวลาเราประพฤติปฏิบัติ คนก็บอกว่า โอ้! ไอ้นี่ปฏิบัติธรรม นี่เราอยู่บ้านอยู่เรือนของเรา เวลาไปวัดไปวา มันที่ปฏิบัติเลยแหละ ที่ปฏิบัติธรรมมันบังคับเลย ต้องปฏิบัติ

เราไปวัดไปวาเพื่ออะไร วัดวาอาราม อารามิกชน ผู้ที่ไม่มีเหย้าไม่มีเรือน เวลาไปวัดไปวาขึ้นมาก็เพื่อจะไปแสวงหาสัจจะหาความจริง ถ้าแสวงหาสัจจะหาความจริง หาที่ไหน หาด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

เวลาทางโลกๆ เขาบอกพวกนี้ทำเงินตกหาย เดินหานี่ไง หาเงินหาทอง เวลาเดินหาเงินหาทองที่บ้านเขา ไอ้นี่เราหาหัวใจเราต่างหาก ถ้าเราหาหัวใจเราต่างหาก มันเป็นที่สัปปายะ มันเป็นภาคบังคับให้เราควรการกระทำเลย ถ้าทำขึ้นมามันก็เป็นความจริง นี่ไปวัดไปวาไง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเวลาเราคิดสิ่งใดไม่ออกแล้วมันมีความขุ่นมัวอยู่ในใจ เวลามาฟังเทศน์ไง รูปอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากของคนต่างหากคือกิเลส เวลามันได้สติ ได้คิดได้ มันก็หดตัวเข้ามา จิตใจมันก็ปล่อยวางได้ ปล่อยวางอารมณ์ที่ไปยึด ไปยึดนั่นน่ะต้นไม้พิษ เวลายึดมาแล้วมันคิดสิ่งใดออกมามันคิดแต่ความเป็นพิษ ความเป็นพิษขึ้นมา ความเป็นพิษมันชอบนะ มันมีรสชาติ

รสของธรรมเหมือนน้ำฝน ใสสะอาด รสจืด มีคุณค่ากับร่างกาย แต่ถ้ามันไปกินแกง กินอาหารที่รสจัด มันมีรสมีชาติ

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันไม่พอใจ เวลามันโกรธ เวลามันฝังใจนี่ชอบ แต่รสปล่อยวางไง รสปล่อยวาง รสความว่าง รสของธรรม เวลามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันจะเข้าใจของมัน 

แต่เวลาที่กิเลสมันพลั้งเผลอไง เวลามันเผลอตัวเอง เวลาคิดเรื่องนี้ย้ำคิดย้ำทำ บอกเราคิดเพื่อจะแก้ไข เราคิดเพื่อจะให้ทันความคิดเรา มันยิ่งคิดมันยิ่งเจ็บ เจ็บอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่มันชอบ มันมีรสชาติ แต่เวลามันจะปล่อยเท่านั้นน่ะ โอ้โฮ! ปล่อย โล่งเลย เวลาปล่อยมันต้องเท่าทัน นี่ถ้ามันเท่าทันนะ ถ้ามันปล่อยได้มันก็เป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับเรา แล้วมันเป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้ว

ดับอารมณ์ที่ ๒ เวลาทำสิ่งใดแล้วมันต้องมีกฎมีกติกา ถ้าคนอื่นเขาทำอย่างไรเราก็ต้องทำแบบนั้น ถ้าทำแบบนั้นแล้วมันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไง

เวลาพระ หลวงตาท่านสอนประจำ เวลาอยู่ในวัดในวา พระทั้งหมดเหมือนร่างกายเดียวกัน หลวงตาท่านเป็นส่วนศีรษะ พวกเราเป็นแขน เป็นขา เป็นร่างกาย เป็นเท้า เป็นมือ เพื่อให้องค์กรนั้นขับเคลื่อนไป

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเป็นพระ เป็นพระอยู่ในวัด เหมือนร่างกายเดียวกัน ถ้าไปเหยียบเอาหนาม ไปมีแผลขีดข่วนที่ใด มันเจ็บไปหมดน่ะ นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำสิ่งใดแล้ว กติกาก็คือกติกา ถ้าทำสิ่งใดเราจะเอาชนะอยู่คนเดียว เราจะอยู่บนยอด ยอดเจดีย์มันแหลมๆ มันมีที่เดียว ฐานของมันกว้างไง แต่ยอดของมัน เวลานกมันมาจับ มันจับตรงนั้นน่ะ

นี่เหมือนกัน ทำสิ่งใดต้องให้เหมือนกัน เราจะเอาสิทธิพิเศษเป็นไปไม่ได้ ถ้าสิทธิพิเศษ สิทธิพิเศษก็กิเลสพิเศษไง กิเลสตัวใหญ่กว่า กิเลสตัวใหญ่กว่ากิเลสธรรมดา

ไอ้พวกกิเลสธรรมดามันก็อยู่ของมันธรรมดาไง ไอ้พิเศษก็กิเลสตัวอ้วนกว่าใหญ่กว่า นี่สิทธิพิเศษ มันไม่เป็นไปหรอก ถ้าเป็นความพิเศษ เห็นไหม

หลวงตาอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านรับผิดชอบในวัดทั้งหมดเลย แต่ความพิเศษของท่านเวลาภาวนาไม่มีใครเห็น แต่ทำความดีขึ้นมาไม่มีใครเห็น

เวลาหลวงปู่มั่นท่านรู้ของท่านเอง คนที่สัมผัสกัน ท่านจะรู้โดยข้อเท็จจริง ท่านรู้เลยว่าหลวงตาท่านไม่ใช้ผ้าห่ม ท่านเอาผ้าห่มส่วนตัวของท่านเลย ที่หลวงตาพระมหาบัวท่านเป็นคนพับคนเก็บทุกวันน่ะ เอาไปบังสุกุลวางไว้ที่ที่นอน

ความพิเศษมันพิเศษตรงนั้น พิเศษคนที่ความที่เขาเห็นว่ามันรับผิดชอบจริง ทำจริง แล้วทำอยู่เบื้องหลัง ทำไม่ให้ใครรู้ใครเห็น แต่ผู้ที่ความเป็นจริงมันเห็นของมันเองไง

นี่ก็เหมือนกัน ความดีๆ มันอยู่ที่เรา ความดีๆ มันอยู่ที่ว่า เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ถ้ามันสงบระงับเข้ามา นั่นน่ะสุดยอด ถ้าอย่างอื่นแล้วเขาไม่ทำ มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ดีแล้วทุกคนไม่พอใจทั้งสิ้น แล้วเราไปทำขวางเขาไปหมดมันจะดีตรงไหนล่ะ อ้างนู่นอ้างนี่ อ้างไปเถอะ ร้อยแปด

คนหวังดีปรารถนาดีไม่ทำกีดขวางใครทั้งสิ้น ไอ้ที่กีดที่ขวางเขานั่นน่ะ อวดดีนั่นน่ะ แล้วมันจะเป็นความดีไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ ความดีคือความดี แล้วความดีมันเป็นความดีในตัวมันเอง แล้วความดีนั้นมันจะเป็นความจริง

นี่พูดถึงว่า เราเป็นระเบียบของวัด ถ้ามันเป็นความที่เราเข้าใจได้หรือเข้าใจไม่ได้ ถ้าเข้าใจได้ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของคุณธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะเป็นส่วนยอด ยอดของเขา แต่มันไม่เป็น ถ้ามันเป็นแล้วมันเป็นโดยสัจจะโดยข้อเท็จจริง

นี่พูดถึงว่า เวลากลับมาบ้านแล้วมันมีหน้าที่การงาน

มันเรื่องธรรมดา มันเรื่องธรรมดา เพียงแต่เราจะฉลาดหรือเราจะแก้ไขของเราอย่างไร เพราะสถานะของความเป็นจริงมันเป็นจริงอย่างนี้

เวลาพระ เวลาเข้าพรรษา ธุดงควัตร มันต้องมีหนักมีเบาไง เวลาเข้าพรรษาแล้ว ถ้ายังขวนขวายอยู่ เอาจริงเอาจังเต็มที่ ออกพรรษาแล้วหาที่วิเวก หาสถานที่ที่ค้นคว้าดูใจของตน หน้าที่ของเราเลยล่ะ งานของนักรบ งานในพระพุทธศาสนา

ในพระพุทธศาสนาไม่นับถือเทวดา อินทร์ พรหม ไม่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้นในโลกนี้เพราะมันไม่มี พระพุทธศาสนานะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกธาตุนี้ไม่มี ไม่มี เวลามี มีคุณธรรม ฉะนั้น ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้นที่เราจะเคารพบูชา ไม่มีเลย

แต่เวลาเป็นจริงๆ ขึ้นมามันเป็นจริงที่ในหัวใจดวงนี้ไง ในพระพุทธศาสนาไง มันเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกท่ามกลางหัวใจนี้ไง พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

เวลาไปวัดไปวามีรูปเคารพ มีพระพุทธรูป นี่เป็นสัญลักษณ์ไง แต่เวลาคนเข้าไปถึงพุทธะในหัวใจ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความมหัศจรรย์ในใจดวงนั้นน่ะ

เราพูดทุกวันเลย พระพุทธเจ้าองค์เป็นๆ เขาไปอินเดียกัน เขาไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ของเราพุทโธๆๆ เราจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์เป็นๆ เลย พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วถ้ามันแก้ไข มันแก้ไขตรงที่พุทธะตัวเป็นๆ นั่นเลย พระพุทธศาสนามหัศจรรย์ไหม

ฉะนั้น เวลารูปเคารพข้างนอกภายนอกนั่นน่ะ ในพระพุทธศาสนาไม่มีสิ่งใดที่ว่ามีอิทธิฤทธิ์ มีคุณภาพคุ้มครองใคร ไม่มีหรอก มันคุ้มครองความตายไม่ได้ มันคุ้มครองกิเลสในใจของคนที่ทุกข์ไม่ได้ ไม่ได้ทั้งสิ้นเลย

แต่ศีล สมาธิ ปัญญาสิได้ นี่พระพุทธศาสนาไง นี่ไง พระพุทธศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญาคุ้มครองให้คนฉลาด คนไม่เป็นเหยื่อ คนพ้นจากการอมทุกข์ คนพ้นจากการครอบงำ เป็นอิสระเสรีภาพ นี่พระพุทธศาสนาไง

พระพุทธศาสนา ถึงบอกว่า เราเป็นชาวพุทธ เราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาให้เป็นความจริง แล้วถ้ามันเป็นความจริงแล้วนะ ความจริงอันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ จะเป็นจะตายมันไปกับเราทั้งสิ้น มันอยู่กับจิตไปตลอด จิตนี้จะไปเกิดในภพใดชาติใดมันไปกับจิตดวงนั้นเลย มีคุณค่ากับจิตดวงนั้นเลย ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงที่เราสร้างของเราขึ้นมาได้ นี่คือประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติ จบ

ถาม : เรื่อง “ปฏิปทาผ่านบุคคลทั้ง ๔ คู่”

กราบนมัสการหลวงพ่อ กระผมขออนุญาตถามข้อสงสัยเรื่องในแนวทางปฏิบัติครับ คือผมได้ฟังพระอาจารย์ท่านหนึ่งสอนเกี่ยวกับการดำเนินการปฏิบัติท่านว่า

เมื่อ ๖ ปีที่แล้วท่านพยายามฝึกจิตจนสงบได้แล้ว วันหนึ่งท่านออกจากสมาธิจะลุกขึ้นเกิดเป็นอัมพาตครึ่งซีก แล้วเกิดอุบัติเหตุล้มลง กระดูกสันหลังหัก จากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุซ้ำ เส้นเอ็นเท้าขาด ได้รับทุกขเวทนาสาหัส แต่ท่านปฏิเสธการรักษาพยาบาล

เวลาผ่านไปหลายวัน ที่สุดเวทนารุนแรงเหมือนเวทนาในโลกรวมที่ท่านคนเดียว จนท่านไม่ไหว จึงปลงใจที่จะตาย จึงกำหนดอยู่ที่ลม รอดูลมหายใจที่จะขาดลง แขนขากระตุก เห็นเส้นประสาททั้งหมดเผาไหม้เป็นขี้เถา สุดท้ายทุกอย่างดับลงหมด ผู้ดูแลท่านตรวจดูก็สรุปว่าท่านตายแล้ว ผ่านไปราว ๑๐ ชั่วโมงท่านฟื้นขึ้นใหม่เป็นคนใหม่ ไม่รู้จักกามราคะ ปรุงความคิดไม่ได้ รู้ด้วยตนเองว่าท่านจบกิจ

(เมื่อก่อนท่านว่าท่านเป็นพระอรหันต์วันละ ๒ หน ท่านก็ยอมรับว่าความหลงเป็นอย่างไร แต่ครั้งนี้ท่านยืนยันว่าจบกิจ ขอเป็นพยานและสอนให้กำลังใจผู้ที่ปฏิบัติใหม่) เป็นการผ่านบุคคลทั้ง ๘ ทีเดียวเลย

ท่านจึงสอนเน้นที่อานาปานสติว่า เร็วที่สุด เป็นสมถะและวิปัสสนา โดยจะเกิดสภาวะเวทนาต่างๆ นานา เกิดขึ้นจากอานาปานสติ

นี้เป็นปฏิปทาคร่าวๆ ที่ท่านเล่าให้ฟังครับ ผมเลยสงสัยว่าท่านผ่านได้จริง ได้เร็ว เป็นไปได้ไหมครับ เป็นเพราะวาสนาส่วนตนของท่านเอง หรือเป็นประสิทธิภาพของอานาปานสติโดยเฉพาะ

จากที่ผมฝึกมาบ้าง คือกำหนดพุทโธพร้อมลมเข้าออก สุดท้ายเหลือแต่ลมเข้าออก เลยคิดว่าถ้าจะเอาแต่อานาปานสติไปเลย จะได้ผลเร็วเหมือนกันทุกคนไหมครับ คำถามควรไม่ควรแล้วแต่หลวงพ่อครับ

ตอบ : นี่พูดถึงคำถามเนาะ คำถามว่าท่านเสร็จกิจ แต่เราไม่เชื่อ ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครเชื่อเพราะว่าเราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อๆ ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อที่เขาว่าจบกิจไม่จบกิจ ไม่เชื่อๆ ไม่เชื่อถึงการภาวนาของเขาว่าเขาภาวนาแล้วสลบไป ๑๐ ชั่วโมง ก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ

พระพุทธเจ้าสอนไว้ เราเป็นลูกศิษย์ เราเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนเลย สอนถึงศรัทธาความเชื่อนะ ศรัทธาความเชื่อนี่ท่านบอกเป็นหัวรถจักร พวกเราเพราะมีความเชื่อแล้วเราถึงได้มานับถือพระพุทธศาสนา

นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว เชื่อแล้ว เราก็ค้นคว้าเรื่องธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาพุทธประวัติ ศึกษาต่างๆ ศึกษามาเพื่อเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ศึกษามาให้ฉลาดพ้นจากกิเลส ไม่มี

ปริยัติ ต้องปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วถึงปฏิเวธ

ปริยัติเป็นปริยัติ นี่พูดถึงว่าการศึกษา เราศึกษามา ศึกษามาในปริยัตินั่นแหละบอกเลย กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ แล้วไม่ให้เชื่อ ท่านพูดถึงบ่อยมากเรื่องกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อว่าเขาจะจบกิจแล้ว จบกิจแล้วก็เรื่องของเขา เกี่ยวอะไรกับเราล่ะ เขาจะพิจารณาเวทนาก็เรื่องของเขา ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเราเลย ไม่เกี่ยว

เราแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ดีงาม เวลาครูบาอาจารย์ที่ดีงามท่านจะสอนเรา สอนเราทาน ศีล ภาวนา เวลาพระ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเราไป

ถ้าปฏิบัติของเราไปนะ ถ้ามีความสงสัย เราจะเข้าหาครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านจะคอยชี้แนะๆ แล้วครูบาอาจารย์ของเราท่านจะดูเลย ดูพฤติกรรม ดูกิริยาไง ดูกิริยาของคนที่ประพฤติปฏิบัติ

เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัตินะ

๑. สงบระงับ

๒. ใฝ่ดี

เพราะอะไร เพราะมันมีศีล พอมีศีลขึ้นมามันทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม

ไอ้คนที่ทะลุกลางปล้อง ทะลุหัวทะลุท้าย หักหน้าหักหลัง ไร้สาระ เพราะว่ามันผิดนะ มันทุคติ สุคติ สุคติๆ สุคติมันสงบระงับ ทุคติ หักหน้าหักหลัง แทงหน้าแทงหลัง ทิ่มแล้วทิ่มอีก นั่นมันทุคติ มันจะเป็นไปได้อย่างไร

ถ้าเป็นสัจจะความจริง

๑. ต้องสงบระงับ

๒. ไม่แหกคอก

เวลาทางโลกนะ พ่อแม่หลายๆ ครอบครัวในชนบทนะ เวลาเขาทำอาหารเสร็จแล้วเขาจะให้ลูกกินก่อน เหลือเศษอาหารแล้วพ่อแม่ถึงจะกินนะ เพราะอะไร เพราะว่าเด็กมันกำลังเจริญเติบโต มันต้องการสารอาหาร แล้วเราเป็นคนทุกข์คนจน เราหาได้มากน้อยแค่ไหน เวลาทานอาหารเย็น ทานอาหารเช้าจะให้ลูกกินก่อน ลูกกินแล้วเหลือแต่เศษก้างปลา เหลือแต่เศษอาหาร พ่อแม่จะกินทีหลัง เพราะพ่อแม่ ด้วยความผูกพันของพ่อแม่ที่รักลูกมาก

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาครูบาอาจารย์ของเรา พ่อแม่ครูจารย์ๆ พ่อแม่ครูจารย์ท่านทะลุปรุโปร่งหมดแหละ แล้วเวลาพ่อแม่ครูจารย์ท่านทะลุปรุโปร่ง เวลาท่านปฏิบัติของท่าน ทีหลังทั้งนั้นน่ะ ให้เขาไป ทุกอย่างนะ ใครจะแซงหน้าแซงหลังให้มันแซงไปก่อน เพราะมันแซงไปแล้วเดี๋ยวมันจะไปล้มอยู่ข้างหน้านั่นน่ะ มันไปไม่รอดหรอก

แต่คนที่เดินตาม พอเดินตามครูบาอาจารย์ วัตรปฏิบัติไง เวลาปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เห็นไหม “มหา มหาไม่ต้องขึ้นมานะ ให้พระเล็กเณรน้อยมันขึ้นมา มันจะได้มีข้อวัตรปฏิบัติติดหัวใจมันไป”

เวลาติดหัวใจมันไป มันทำสิ่งใดแล้ว ไอ้ข้อวัตรปฏิบัติมันจะตรวจสอบอารมณ์ของเขาเอง ไอ้ข้อวัตรปฏิบัติ ไอ้ทำความดีความชั่ว มันจะคอยตรวจสอบพฤติกรรมดีหรือชั่ว

นี่เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นความดีๆ มีครูบาอาจารย์ที่ดีงาม เราเอาสิ่งนั้นเป็นแบบอย่างๆ นะ เวลาทุกข์เวลายาก เวลาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบอกหมดแหละ เวลาไปประพฤติปฏิบัติมันมีความทุกข์ความยาก

แล้วดูสิ ตั้งแต่ประวัติหลวงปู่เสาร์ ประวัติหลวงปู่มั่น เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาไปอยู่ที่ไหน ถ้าที่นั่นมันมีพระพื้นถิ่นอยู่ มันจะมีปัญหาไปทั้งสิ้นน่ะ เพราะอะไร เพราะมันไปเตะถ้วยลาภเขาไง

เวลามันอยู่ไปนานๆ มันชินชา พอมันชินชาหน้าด้านมันทำอะไรก็ทำแต่ตามใจของตนไง ทำแต่พอกิเลสให้เขามาค้ำชูอย่างนั้นแหละ เวลามีครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติ พระป่า มันก็แค่บิณฑบาตฉันไง บิณฑบาตฉันแล้วเขาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

เวลาพระปฏิบัติ เวลาเที่ยวปฏิบัติไปมันสถานที่ต่างๆ ถ้าที่มันแรง ไปในป่าในเขาก็มีสัตว์ มีสัตว์ มีเสือ มีช้าง มีอันตรายทั้งสิ้น เขาพยายามรักษาศีลของเขา รักษาศีลเขาบริสุทธิ์ เวลาเขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ ถ้ามีผิดศีล เขาจะปลงใจลงว่า ถ้าไปองค์เดียวนะ ถ้าเราเจอพระเราจะปลงอาบัติทันที เขาห่วงการปฏิบัติที่มันผิดมันพลาด

เวลาเขาทำตัวดีงามขึ้นมา ไอ้พระเจ้าถิ่นมันจะมาไล่แล้ว มันทั้งไล่ ทั้งอะไร เพราะว่าอะไร เพราะมันเป็นการเปรียบเทียบไง เพราะอะไร เพราะพระในพื้นที่มันชินชา ทำอะไรก็ทำแต่ความพอใจของตนไง เวลามีสิ่งใดที่ไป เขาจะจับเขาจะไล่ร้อยแปด

นี่พูดถึงว่าเวลาปฏิบัตินะ เวลาปฏิบัติขึ้นมาเขาจะรู้จะเห็นของเขา แล้วมีครูบาอาจารย์ที่ดีงาม ท่านก็ปฏิบัติของท่าน

นี่ก็เหมือนกัน คำถามเขาถามว่า เวลาบอกว่า ปฏิปทาบุคคล ๔ คู่

โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านผ่านของท่านมา ในพระไตรปิฎก ในสังฆคุณเราก็สวดกันทุกวัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราก็ทำให้มันเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมาเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แล้วใครจะมายกย่องสรรเสริญนะ ยกก้นบอกว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ...ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะมันจริงหรือไม่จริงล่ะ

มีเยอะแยะไป เวลาคนที่เขามาปฏิบัติที่นี่แล้วเขาไปที่อื่นกลับมาเล่าให้ฟังไง ไปกันหลายคน เขาบอกเลย ปฏิบัติที่วัดหลวงพ่อยุ่งยาก ลำบาก ปฏิบัติที่อื่นนะ ก่อนจะปฏิบัติขึ้นมาเขาจะมีน้ำสมุนไพร เขาจะมีบอกว่าถ้าดื่มแล้วมันจะปฏิบัติง่าย มันมีเทคนิค อู้ฮู! ร้อยแปดเลยล่ะ

มีหลายๆ สถานที่ เวลาปฏิบัติไปนะ ถ้าปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ ถ้าเชื่อถือครูบาอาจารย์จะได้เป็นโสดาบัน ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะได้เป็นสกิทาคามี อนาคามี แต่มีข้อแม้ข้อเดียวเท่านั้นน่ะ ห้ามสังเกตอาจารย์นะ ถ้าวันไหนสังเกตอาจารย์ปั๊บ อริยบุคคลจะหายหมดเลย

โอ้โฮ! เขามาเล่าให้ฟังเยอะมาก แต่ภาษาเรานะ ไม่ต้องมาเล่าหรอก

เราเป็นพระปฏิบัติใหม่ๆ เราก็แสวงหาครูบาอาจารย์เหมือนกัน แล้ววุฒิภาวะเวลาบวชใหม่ๆ แล้ว จะว่ามันโง่มันก็แสนโง่นะ แต่ในความเป็นจริงมันซื่อ มันซื่อ มันอยากได้ มันอยากปฏิบัติ อยากให้คนชี้ทาง แล้วมันก็ชี้ไปดวงจันทร์ ไปดาวอังคารอย่างนี้ มันชี้ไปบ้าบอคอแตก มันไม่ชี้เข้ามาสู่ใจของตนเลย

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัวท่านไม่ได้ชี้ไปไหนเลย ท่านชี้เข้าที่ทางจงกรม แล้วมึงเดินเอา ท่านชี้เข้าไปที่ปฏิบัติน่ะ

เวลาหลวงตา ใครฉันข้าวเสร็จแล้ว ถ้าไม่อยู่ในทางจงกรม ไม่อยู่ในร้านของตัว ออกมาเดินตามทางในวัดนะ ท่านถามมีธุระอะไร จะไปไหน ถ้าตอบไม่ได้ ไล่ออก

ท่านไม่ชี้ไปไหนเลย ท่านชี้เข้าที่ทางจงกรมนะ ไม่ชี้ว่ามันจะมีเครื่องผ่อนแรง มันจะมีบันไดเลื่อน มันจะทำให้มันมีฤทธิ์ส่งขึ้นไปพระอรหันต์เลยอย่างนี้ โดยทั่วไปโกหกทั้งนั้นน่ะ มันไม่มีอยู่จริง

ในการศึกษานะ เวลาจะสอบมันต้องสอบผ่านนะ ถ้าไม่ผ่าน สอบไม่ผ่านก็ตกชั้น เพราะในการศึกษา เขาต้องศึกษา เขาต้องมีความรู้ เขาต้องมีทางวิชาการสอบข้อสอบผ่านได้ เขาถึงเรียนศึกษาได้

เวลาปฏิบัติขึ้นมาเขาต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาของเขา เข้าไปชำระล้างกิเลสในใจของเขาได้ ใครจะไปแก้ให้เขา

ลอกข้อสอบน่ะสิ อาจารย์ทุจริตใช่ไหม เดี๋ยวจะให้เกรดถ้าให้ผลประโยชน์ฉัน อย่างนั้นหรือ มันไม่มีอยู่หรอก

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ที่บอกคำถาม เขาบอกว่าเขาปฏิบัติไปแล้วเขาเป็นอัมพาตครึ่งซีก เขาเป็นอะไร

เราไม่เชื่อหรอก เวลาหลวงตาท่านตรวจสอบลูกศิษย์ลูกหานะ ถ้าคนไหนอวดเก่งนะ ท่านจะบอกว่า อ้าว! ว่ามา ก.ไก่ ก.กา ว่ามาเลย ว่ามา

ท่านจะดูตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กาเลย ก.ไก่ ก.กา คือเริ่มทำความสงบได้หรือไม่ได้ ถ้าทำความสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาคือไม่เห็นกิเลส โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค

แม้แต่มรรค เอ็งก็พูดให้ถูกก่อนสิ เอ็งยกขึ้นสู่มรรคอย่างไร แล้วอะไรเป็นมรรคหรือหมัก หมักเหล้า หมักกัญชา หมักสุราเมรัย หมักอย่างนั้นหรือ มันไม่ใช่มรรค มันหมัก หมักหมมกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

แล้วเวลาพิจารณาไปแล้ว เวลานั่นน่ะ อ้าว! ก.ไก่ ก.กา ว่ามา อ้าว!

เวลาที่ว่าขึ้นไปหาหลวงปู่แหวน เริ่มต้นเห็นกิเลสไหม แล้วจับมันได้อย่างไร พอจับมันแล้ว แล้วตัวมันเป็นอย่างไร แล้วเวลาขณะที่มันขาด ขาดอย่างไร

เวลาหลวงปู่แหวนท่านตอบปั๊บ เออ! ต้นทางถูก ถ้าพาดกระแสนะ ต้นทางเข้ากระแสถูก มันถึงจะดำเนินไปได้ถูกต้อง

ถ้าต้นทางเข้าไม่ได้ ยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่เป็น ต้นทางไม่มี จบครับ ถ้าวันนั้นหลวงปู่แหวนท่านตอบ ต้นทางนี้ไม่ถูก หลวงตาพระมหาบัวท่านไม่ถามต่อหรอก ต้นทางยังเข้าไม่ได้ สถานที่พิกัดยังไม่รู้ เราจะไปหาที่มันอย่างไร

มันต้องพิกัดรู้ก่อน ต้นทางจับได้ แล้วเข้าไปถึงหัวใจได้ นั่นน่ะคือต้นทาง เวลาต้นทางมันเป็นไปได้ ถ้ามันจบได้ มันต้องมีมรรคมีผลของมัน มรรค ๔ ผล ๔ ไง

แต่ไอ้นี่มันไม่มีไง หลับไป ๑๐ ชั่วโมงอย่างนี้

ถ้าหลับไป ๑๐ ชั่วโมงขึ้นมาแล้วเสร็จกิจนะ ผ่าตัดในโรงพยาบาลมันวางยาสลบทั้งนั้นน่ะ ไอ้ฟื้นลุกจากเตียง โอ้โฮ! เสร็จกิจ ใครลุกจากเตียงผ่าตัด เสร็จกิจหมดเลย มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีเหตุไม่มีผลไง แต่จบกิจนะ แล้วจบกิจแล้วแค่มาอยู่เป็นเพื่อน มาอบรมบ่มเพาะมาสั่งสอนทั้งสิ้น

กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ กาลามสูตรก็จบแล้ว เรื่องของเขา ใครจะดี ใครจะชั่วมันเรื่องของเขา มันเรื่องของเขานะ

โดยสัจจะ โดยความจริง เราไม่อยากไปยุ่ง เพราะก่อนที่เราบวชใหม่ๆ เราก็แสวงหาอย่างนี้มา แล้วก็หัวหกก้นขวิดผิดพลาดมาเยอะ จนอย่างที่ว่า พูดประจำเมื่อก่อน ว่าพรรษาหนึ่งพรรษาสองไปเจอหลวงปู่จวนนั่นน่ะ เวลาท่านชี้เลย “อวิชชาอย่างหยาบสงบตัวลง”

เวลาประพฤติปฏิบัติกัน พวกเรานี่หยาบๆ มันเป็นปุถุชนคนหนา มันรู้ไปหมดทุกเรื่อง แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นเรื่องสักเรื่องหนึ่งเลย มันรู้ทุกเรื่อง แต่ไม่มีเรื่องอะไรเป็นประโยชน์สักเรื่องหนึ่ง รู้ทุกเรื่อง แล้วก็ไม่ได้เรื่อง อยู่อย่างนั้นน่ะ

จนท่านบอกเลย “อวิชชาอย่างหยาบสงบตัวลง”

ไอ้ที่ว่าไม่รู้เรื่องๆ ชักรู้เรื่องขึ้นมานะ ชักเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา นั่นน่ะสงบตัวลง เท่านั้นเอง เอ็งยังหาจุดยืนไม่ได้เลย จุดยืนความเป็นจริงน่ะ

เออ! จริงเนาะ ไอ้ที่ว่ารู้ทุกเรื่องแต่ไม่ได้เรื่อง มันก็ฟุ้งซ่านอยู่อย่างนั้นน่ะ พอมันจะเอาเรื่องเอาราวขึ้นมา พอมันรักษาหัวใจพออยู่ได้ มันก็ไม่ได้เรื่อง แต่คิดว่ามันเป็นเรื่อง คิดว่าตัวเองถูกไง

เวลาท่านบอกเลย “อวิชชาอย่างหยาบๆ สงบตัวลง”

ถูกต้อง อวิชชาอย่างหยาบๆ คือเราไม่มีที่อยู่ที่อาศัยเลย เดือดร้อนไปทั้งหัวใจ แล้วพยายามศึกษาค้นคว้า มันสงบมันเย็นลงได้บ้าง เห็นไหม แค่อย่างหยาบๆ

หยาบๆ คือมันฟุ้งซ่าน มันมีแต่เรื่องความเดือดร้อน มันมีแต่เรื่องความทุกข์ร้อน มันมีแต่เรื่องความวิตกกังวล มันมีแต่เรื่องความไม่เข้าใจในชีวิตตนเลย ทุกอย่างมันฟุ้งซ่านไปหมดเลย เพราะอะไร เพราะเป็นพระ เป็นนักรบ จะรบกับกิเลส แต่ไม่รู้จะรบกับอะไร แล้วรบไม่ได้เรื่องเลย แต่พอมันชักเรียงอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้

“อวิชชาอย่างหยาบๆ มันแค่สงบตัวลง อวิชชาอย่างกลางในใจอีกมากมาย อวิชชาอย่างละเอียดในใจท่านอีกมหาศาลเลย”

ค่อยเริ่ม ไอ้ที่เคยได้ยินได้ฟัง ที่เคยรับฟังใครมานะ ปัดทิ้งหมดเลย ลบให้หมดเลย เริ่มต้นใหม่ นี่เราเริ่มต้นใหม่ แล้วก็เริ่มต้นจากตรงนั้นมา แล้วพอเริ่มต้นจากตรงนั้นมา พอได้หลักได้เกณฑ์บ้าง ท่านประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกซะ มันเข็ดมันขยาดที่ไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ มันเลยบอกตัวเองว่า มึงต้องเข้าบ้านตาด มึงต้องเข้าไปหาหลวงตา มึงต้องเข้าไปหาคนที่รู้จริงชี้ทางให้ ก็เลยเข้าๆ ออกๆ บ้านตาดมันตั้งแต่บัดนั้น

พอเข้าไปแล้ว อย่างที่ว่า เวลาประพฤติปฏิบัติมีครูบาอาจารย์หรือไม่ มันเคยทุกข์ยากมาขนาดนี้ เวลาเราเข้าไปอยู่บ้านตาดนะ มันจะเตือนตัวเองอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก นี่หลวงตาพระมหาบัวท่านคอยแก้จิตให้เอ็ง เอ็งมีอะไรให้ท่านแก้หรือไม่

เหมือนหมอเขารอรักษาพยาบาลคนไข้เลย แต่ไม่มีคนไข้เข้าไปหาท่านเลย เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา พยายามจะหาจุดบกพร่อง หาความเจ็บป่วยของตน ของจิต แล้วขึ้นไปรายงานท่าน ให้ท่านคอยแก้ไขตลอดเวลา เพราะอะไร เพราะคนที่จะแก้ไขมันหาได้ยาก แล้วมันหาไม่ได้ เราเข้าบ้านตาดเรามีอุดมการณ์อย่างนี้ เราคิดของเราอย่างนี้ เราจึงเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งวันทั้งคืนตลอดเวลา ไม่ยุ่งกับใครเลย

จนพระด้วยกันเขาเหม็นขี้หน้า เขาประชุมกันแล้วให้พระมาคุยกับเราไง ชื่อคำพราน จำชื่อมันได้ว่ามันชื่อคำพราน เป็นพระทางภาคอีสาน คำพรานมันบอกว่า “หงบๆ หมู่คณะเขาให้กูมาเตือนมึงน่ะ บอกวันๆ มึงทำแต่หน้าเหม็นขี้ทั้งวันเลย มึงทำแต่หน้าเหม็นขี้ทั้งวันเลย มึงทำไมไม่ทักไม่ทายอะไรเลยล่ะ”

แต่ความจริงเราคิดอย่างนี้ คนที่รอแก้ไขเอ็งเขารออยู่นั่น แล้วเอ็งมีอะไรให้แก้ไขล่ะ เอ็งมีอะไรที่สงสัยบ้าง เอ็งมีอะไรในใจที่เป็นภาระที่จะให้คนคอยชี้ทางบ้าง

เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งวันทั้งคืนตลอดเวลา พระที่อยู่ในรุ่นเดียวกันเป็นพยานต่อกันได้ อย่างสุดใจ รุ่นนั้นน่ะ รุ่นสุดใจ รุ่นนพดลอย่างนี้ เส็งตายไปแล้ว รุ่นเก่าๆ รุ่นนั้นน่ะ เห็นทุกวัน

เพราะบนศาลาวัดป่าบ้านตาด คนที่โดนหลวงตาสับเขกไม่มีใครมากไปกว่าเราเด็ดขาด โดนด่าวัน ๓ รอบ ๔ รอบ ทุกวัน ถามพระได้ รุ่นเก่าๆ นะ แต่รุ่นใหม่ๆ มันเหม็นขี้หน้า เหม็นขี้หน้าเพราะว่าเราไม่ยุ่งกับใคร มันเหม็นขี้หน้า เหม็นขี้หน้าเพราะว่ามันอย่างนี้

สิ่งที่ว่าเราสลบไป ๑๐ ชั่วโมง ฟื้นมานี่บอกว่าจบกิจ

ไม่มีหรอก สลบไปก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสลบ ๓ หน หลวงปู่มั่นท่านเคยสลบ สลบก็คือสลบ ไม่ใช่มรรค ถ้าสลบเป็นมรรคนะ ไอ้คนไข้ในโรงพยาบาลโดนวางยาสลบทุกวันเลย มันมีมรรคมีผลหมดน่ะ สลบไม่ใช่มรรค หายวูบก็ไม่ใช่มรรค

มรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญาที่ชัดเจน เป็นธรรมจักรที่แยกแยะพิสูจน์ตรวจสอบเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ในสติปัฏฐาน ๔ ในขันธ์ ๕ ในปฏิจจสมุปบาท มันแก้มันไข มันทำของมันชัดเจน แล้วความชัดเจนแบบนั้นน่ะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงมาสอนพวกเราด้วยความชัดเจน ไม่ใช่สลบไปแล้วฟื้นมา จบกิจ

เยอะแยะไปที่นั่งแล้วหลับไปตื่นมางงเลยล่ะ มันไม่จบกิจหรอก มันงงมากขึ้น ไอ้จบกิจกูไม่เคยเห็น เห็นแต่หันรีหันขวางเดินไม่ถูกทางนั่นน่ะจบกิจ

ไอ้นี่เรื่องส่วนตัวนะ เราไม่ไปยุ่งกับใคร แต่เวลามันเขียนมาอย่างนี้เราก็ตอบเพื่อประโยชน์กับผู้เขียนเท่านั้น ตอบเพื่อประโยชน์กับผู้ที่จะว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาจะพูดอะไร ทำสิ่งใดจะถูกต้องหมดเลยหรือ

เพราะมันไม่มีเหตุมีผลน่ะ จบกิจ กิจอะไร จบตรงไหน จบเรื่องอะไร แล้วพิจารณาอะไร สลบไปมันพิจารณาอะไร แล้วมันรู้อะไร แล้วมันเห็นอะไร แล้วอะไรเริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุดตรงไหน แล้วเป็นอย่างไร ฟื้น ฟื้น

มันไม่มีสาระเลย มันไม่เข้าสู่มรรคสู่ผล เข้าสู่สัจจะ เข้าสู่ความจริง ถ้าพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะทุกอย่างมันมีเหตุมีผลทั้งสิ้น ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เวลาพิจารณาอย่างไรท่านแก้ท่านไข

ในพระไตรปิฎก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อุบายวิธีการ เหมือนกันทั้งสิ้น ให้พิจารณาอย่างนี้ ให้คิดอย่างนี้ ให้ดูอย่างนี้ ให้ซ้ำอย่างนี้ ท่านจะบอกวิธีการทั้งสิ้น เหมือนการให้ยาที่ถูกต้อง

ไม่ใช่ว่าสลบไปฟื้นมา มันไม่มีเหตุมีผลนะ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ถ้าจบกิจใครก็จบได้ จบเพราะอะไร เพราะเขาเข้าใจของเขาอย่างนั้น ถ้าเขาบอกเขาจบกิจก็กิจของเขา ไม่ใช่กิจของเรา แล้วถ้ากิจของเราก็เรื่องของเขา

ถ้ากิจของเรา เราจะฆ่ากิเลสของเรา เราจะหาข้อเท็จจริงในใจของเรา มันต้องมีวิธีการที่เราจะจับต้อง เราจะหาได้ ถ้าหาได้ มันพิสูจน์ได้ มันเป็นได้ก็เป็นของเราไง

นี่พูดถึงว่าคำถามเนาะ แต่เขาบอกว่า คำถามนี้แล้วแต่หลวงพ่อเห็นสมควรจะตอบก็ได้ ไม่ตอบก็ได้ไง

แต่ในเมื่อพูดมาเพื่อประโยชน์เพื่อในวงการปฏิบัติ แล้วถ้าใครจะเชื่อ ใครจะทำของเขาก็เรื่องของเขา แต่ถ้ามันเป็นความจริง กาลามสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ให้เชื่อผลการประพฤติปฏิบัติ ให้เชื่อในการปฏิบัติของเรามันดีขึ้นหรือไม่ มันสงบตัวลงหรือไม่ เรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นหรือไม่ แล้วมันเป็นประโยชน์กับตัวเรามากน้อยแค่ไหน เอาที่ผลของการปฏิบัติของเรา เอวัง